ค่าลดหย่อนภาษี อัปเดตล่าสุด 16 สิงหาคม 2568

ค่าลดหย่อนภาษี

Allowances

อัปเดตล่าสุด 16 สิงหาคม 2568

     ค่าลดหย่อนภาษี คือจำนวนเงินที่กฎหมายกำหนดให้หักออกจาก เงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่าย เพื่อบรรเทาภาระกาษีของผู้เสียภาษี และเป็นการสนับสนุนการออม การลงทุนจากรัฐ

เงินได้หลังจากหัก ค่าใช้จ่าย และ ค่าลดหย่อน(และเงินบริจาค) จะกลายเป็น เงินได้สุทธิ ที่นำมาใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

     ในปีภาษี 2568 ที่จะต้องยื่นภาษีในปี 2569 นี้ รัฐบาลกำหนดสิทธิหักลดหย่อนหลายประเภท ทั้งสำหรับตัวเราเอง ครอบครัว การลงทุน และการบริจาค ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

1. ค่าลดหย่อนพื้นฐานของบุคคล

• ผู้มีเงินได้
  - หักได้ 60,000 บาท
• คู่สมรสที่ไม่มีเงินได้
  - หักเพิ่มได้อีก 60,000 บาท
  * คู่สมรสเพศใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสามี-ภรรยา *
  
• บุตรชอบด้วยกฎหมาย/บุตรบุญธรรม ของตนเองและคู่สมรส
  - คนแรก หักได้ 30,000 บาท
  - คนอื่น ๆ ที่เกิดก่อนปี 2561 หักได้คนละ 30,000 บาท
  - คนที่ 2 เป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 หักได้คนละ 60,000 บาท
  - บุตรต้องอายุไม่เกิน 20 ปี (หรือไม่เกิน 25 ปีถ้ากำลังศึกษา) และไม่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี
  - กรณีบุตรตามกฎหมาย ไม่จำกัดจำนวนบุตร แต่หากมีบุตรบุญธรรมร่วมด้วย จะลดหย่อนบุตรได้ไม่เกิน 3 คน
  * กรณีคู่สมรสมีเงินได้ ค่าลดหย่อนบุตร สามารถใช้ลดหย่อนได้ทั้งคู่ *
• ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร
  - หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาทต่อครรภ์
  - ต้องนำใบเสร็จมาแสดง และลดหย่อนได้เฉพาะส่วนที่เกินจากสวัสดิการอื่น
  - หากมารดาเป็นผู้มีเงินได้ คนที่ใช้สิทธิได้คือมารดา
  * ครรภ์แฝดก็นับเป็น 1 ครรภ์ *
• เลี้ยงดูบิดามารดาอายุ 60 ปีขึ้นไป (รวมถึงบิดามารดาของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้)
  - หักได้คนละ 30,000 บาท 
  - ผู้ถูกเลี้ยงดูต้องไม่มีรายได้รวมเกิน 30,000 บาทต่อปี
  - กรณีมีบุตรหลายคน ให้บุตรใช้สิทธิได้คนเดียวต่อบิดามารดา 1 ท่าน
  * บุตรบุญธรรม ไม่สามารถหักลดหย่อนบิดามารดาได้ *
• เลี้ยงดูคนพิการหรือทุพพลภาพ (ต้องมีใบรับรองความพิการ)
  - หักได้คนละ 60,000 บาท
  - ผู้ถูกเลี้ยงดูต้องไม่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี
  

2. เบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพ

• เบี้ยประกันชีวิต (กรมธรรม์อายุอย่างน้อย 10 ปี)
  - หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  - หากรวมกับเบี้ยประกันสุขภาพ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  
• เบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้
  - หักได้ตามจริง ไม่เกิน 10,000 บาท
  
• เบี้ยประกันสุขภาพของตนเอง
  - หักได้ตามจริง ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  
• เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา
  - หักได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี
  - บิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
  
  

3. เงินสะสมเข้ากองทุนและประกันเพื่อการเกษียณ

• เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
  - หักได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 200,000 บาท
  - ต้องมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และเริ่มรับเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไป
  - รวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ไม่เกิน 500,000 บาท
• กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
  - หักได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
  - รวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ไม่เกิน 500,000 บาท
  
• กองทุนบำเหน็จบาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน
  - หักได้ตามจริง 
  - รวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ไม่เกิน 500,000 บาท
  
• กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
  - หักได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
  - รวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ไม่เกิน 500,000 บาท
• กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
  - หักได้ตามจริง ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
  - รวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ไม่เกิน 500,000 บาท
  

4. เงินสมทบประกันสังคม

• หักได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาทต่อปี
  

5. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย

• ดอกเบี้ยกู้ซื้อ/สร้างบ้าน
  - หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  - หากคู่สมรสมีเงินได้ และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีทั้งคู่ หรือคู่สมรสกู้ร่วม ต้องใช้สิทธิลดหย่อนหาร 2 แบบหารเท่า
  - บ้าน 1 หลัง ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 100,000 บาท แต่สามารถใช้สิทธิจากบ้านหลายหลังได้ รวมแล้ว 1 คน ใช้สิทธิได้ไม่เกินคนละ 100,000 บาท
• ค่าก่อสร้างบ้านใหม่
  - หักได้ 10,000 บาทต่อทุก 1 ล้านบาทของค่าก่อสร้าง (รวม VAT) สูงสุด 100,000 บาท
  - จำกัดค่าก่อสร้างบ้านใหม่ไม่เกิน 1 หลัง และเริ่มก่อสร้างระหว่าง 9 เม.ย. 2567 - 31 ธ.ค. 2568
  
• ค่าติดตั้ง Solor Rooftop
  - หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
  

6. การลงทุนเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

• ลงทุนในธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
  - หักได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  
• กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
  - หักได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 300,000 บาท
  - ต้องถือครองหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี
  
  

7. มาตรการพิเศษ Easy E-Receipt 2.0

• ใช้จ่ายซื้อสินค้า/บริการจากร้านที่จด VAT และมี e-Tax Invoice / e-Receipt
  - วงเงินทั่วไป: 30,000 บาท
  - วงเงินร้านวิสาหกิจชุมชน SME และ OTOP: 20,000 บาท
  รวมสูงสุด 50,000 บาท
  - ช่วงเวลาที่ใช้สิทธิ: 16 ม.ค. - 28 ก.พ. 2568
  
  

8. เงินบริจาค

• เพื่อการศึกษา กีฬา หรือโรงพยาบาลรัฐ (ผ่าน e-Donation)
  - หักได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อน
  
• เงินบริจาคอื่น ๆ
  - หักได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อน
  
• บริจาคให้พรรคการเมือง
  - หักได้ไม่เกิน 10,000 บาท
  
  

   สิทธิค่าลดหย่อนภาษีไม่ได้เป็นเพียงการลดภาระภาษี แต่ยังเป็นเครื่องมือในการวางแผนชีวิต ทั้งด้านครอบครัว การลงทุน และการเกษียณ ยิ่งรู้จักใช้สิทธิให้ครบ ก็ยิ่งทำให้เงินอยู่กับเรามากขึ้น

   อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวันที่อัพเดตข้อมูลล่าสุดยังไม่มีข้อมูลประกาศอย่างเป็นทางการจากกรมสรรพากร ข้อมูลทั้งหมดจึงเป็นการรวบรวมข้อมูลล่าสุดไว้เบื้องต้นเพื่อการวางแผนภาษีในปี 2568 และนำไปยื่นภาษีในปี 2569 ค่ะ

   การวางแผนภาษีไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะค่าลดหย่อนและการยกเว้นภาษีที่กฎหมายกำหนดสามารถช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลง และเหลือเงินไปใช้จ่ายหรือเก็บออมมากขึ้นด้วยค่ะ

สโรชา เชิดชูธรรม (จิน) Wealth Nest Planner

ผู้แนะนำการลงทุน IC License เลขที่ 137173

ตัวแทนประกันชีวิต เมืองไทยประกันชีวิต เลขที่ใบอนุญาต 6801006286

Tel : 062-9025532

Line ID : jinsarocha

หรือแอดไลน์ คลิกที่นี่ 



Facebook คลิก :  Wealth Nest Planner

Instagram คลิก :  @wealthnest.pn